NETFLIX

NETFLIX ธุรกิจสตรีมมิง มูลค่า 6 ล้านล้าน !!

จากร้านเช่าวิดีโอ NETFLIX มุ่งทะยานสู่ธุรกิจสตรีมมิง ที่มีมูลค่าเป็น ล้านล้าน ที่ให้ผู้ชม สามารถดูซีรีส์ และภาพยนตร์ผ่านอินเทอร์เน็ต

สารบัญ

NETFLIX ครบครัน ตอบโจทย์คนที่ชอบดูหนัง และซีรีส์

เน็ตฟริก (Netflix) เป็นบริการสตรีมมิง แบบต้องเป็นสมาชิก โดยสมาชิกสามารถรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ นอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์ และซีรีส์ ลงในอุปกรณ์ ios, android หรือ Windows10 ทำให้สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่ใช้งาน หากคุณเป็นสมาชิกอยู่แล้ว และต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม ในการใช้งานเน็ตฟริก สามารถเข้าไปที่หน้าเริ่มต้นใช้งานได้

NETFLIX ซีรีส์และภาพยนตร์

ภาพยนตร์ และซีรีส์ เนื้อหาของเน็ตฟริก จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาจจะมีความบันเทิงที่หลากหลายมากกว่านี้ ให้เราได้รับชมแบบครบรส ทั้งผลงานจาก เน็ตฟริก ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมาย

อุปกรณ์ในการรองรับ สามารถรับชม Netflix ผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ สมาร์ททีวี คอนโซลเกม เครื่องเล่นมีเดียสตรีมมิง และกล่องรับสัญญาณ นอกจากนี้ เน็ตฟริก ยังสามารถรับชมในคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต สามารถตรวจสอบดูความต้องการของระบบ เกี่ยวกับความสามารถในการรองรับการใช้งาน และดูคำแนะนำเกี่ยวกับความเร็วอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

💲จากร้านเช่าวิดีโอธรรมดา สู่ธุรกิจที่ใหญ่โตมหาศาล💲

ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนมาถึงวันนี้ เน็ตฟริกต้องเผชิญทั้งความวิกฤต จนบริษัทเกือบล้มละลายไปถึง 2 ครั้งใหญ่ และความสำเร็จที่ได้มาจนถึงวันนี้ ถ้าคุณเชื่อมั่นว่าเน็ตฟริก จะกลายเป็นธุรกิจระดับโลก แล้วลงทุนซื้อหุ้นด้วยเงิน 1 ล้านบาท เมื่อ 18 ปีก่อน ในวันนี้ เงินลงทุนคุณอาจจะงอกเงย เพิ่มขึ้นมหาศาลถึง 362 ล้านบาท เลยทีเดียว !!!

NETFLIX ธุรกิจ

เรามาทำความเข้าใจ การมาของ Netflix กันเถอะ

ธุรจกิจนี้ เกิดขึ้นมาได้เพราะความกลัวภรรยา ? เรื่องราวทั้งหมด ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1997 มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Reed Hastings เช่าวิดีโอเรื่อง Apllo 13 มาดู แล้วเขาคืนช้ากว่ากำหนด ทำให้เขาโดยปรับเป็นเงิน 40 เหรียญ หรือประมาณ 1,200 บาท

Reed ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนั้นเขาเอาแต่เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง เพราะกลัวว่า ถ้าบอกว่าตัวเองโดนปรับเงินจากค่าเช่าวิดีโอ ที่เกินกำหนดคืน เขาจะต้องโดยภรรยาดุอย่างแน่นอน ทำให้เขาเกิดไอเดียขึ้นมาว่า “ทำไมเราจ่าย 40 เหรียญ แล้วใช้ฟิตเนสได้ตามใจตัวเอง เราน่าจะลองมาปรับใช้กับธุรกิจเช่าวิดีโอได้สิ” หลังจากนั้น Reed จึงชวนอดีตเพื่อนร่วมงาน Marc Randolph เข้ามาร่วมธุรกิจด้วยกัน ทำให้ เน็ตฟริก ได้มีขึ้นในปีนั้น

ความแตกต่าง จึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังนี้

ทำให้เกิดความคิดที่แตกต่าง เมื่อเกิดความคิดที่ว่า “เอาไอเดียเช่าแบบบุฟเฟ่ต์ มาใช้กับธุรกิจเช่าหนังหรอ ?” ทำให้เน็ตฟริก ยังคงให้สมาชิกเช่าแบบรายครั้ง เพราะกลัวว่า ถ้านำเสนอไอเดียใหม่ไป ลูกค้าอาจจะยังไม่กล้าลอง เพราะในตอนนั้นยังไม่มีใครทำแบบนี้ แล้วธุรกิจของพวกเขาจะไปรอดหรือไม่

แต่ Reed ก็ยังไม่มั่นใจในไอเดียของตัวเอง ยอมทำโมเดลธุรกิจ ตามคู่แข่งรายอื่น ๆ ไปก่อน แต่ในปี 1997 มีเทคโนโลยีใหม่ ที่ชื่อว่า DVD เข้ามาเป็นคู่แข่งวิดีโอเทป VHS 

พวกเขาจะต้องเลือกว่า จะให้เช่าแบบวิดีโอเทป ซึ่งคนคุ้นเคย และมีเครื่องเล่นที่สามารถใช้งานกันอยู่มากมาย หรือจะเลือกเปิดร้านเช่า DVD ถึงแม้จะน่าสนใจ แต่คนส่วนใหญ่ในตอนนั้น ก็ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก เมื่อพวกเขาได้พิจารณาแล้ว ถึงข้อดี และข้อเสีย Reed จึงเลือกที่จะเดิมพันธุรกิจไว้กับ DVD และในยุคนั้น เป็นยุคที่ผู้คนเริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

เน็ตฟริก จึงเลือกที่วางระบบบนเว็บไซต์ นอกจากลูกค้าจะเช่าด้วยตนเองแบบเดิม ๆ ก็ยังสามารถเข้ามาจองหนัง ผ่านหน้าเว็บไซต์ได้อีก แล้วร้านจะทำการจัดส่ง ไปทางไปรษณีย์ให้ลูกค้า ทำให้พวกเขาถึงกับพูดกันว่า ร้านของตัวเอง เป็นร้านเช่า DVD ออนไลน์ ที่เป็นเจ้าแรกในสหรัฐอเมริกา เลยก็ว่าได้ การนำเสนอความแตกต่างใหม่ ๆ บนพื้นฐานธุรกิจเดิม ๆ ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และแพร่กระจายไปตามที่ต่าง ๆ 

จนกระทั่งเข้าปี 1999 เมื่อธุรกิจเริ่มตั้งตัวได้ และมีผู้เข้ามาใช้บริการที่พอสมควร Reed ลองเปิดให้สมาชิก ใช้บริการแบบบุฟเฟ่ต์ ที่เขาตั้งใจจะทำมาตั้งแต่แรก ในตอนเริ่มธุรกิจใหม่ ๆ โดยยังควบคู่ไปกับการเช่ารายครั้งด้วย เมื่อเห็นว่าธุรกิจที่กำลังทำ ไปในทางที่ดี มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการรายเดือน เพื่อเช่าแบบบุฟเฟ่ต์มากขึ้น ในต้นปี 2000 เน็คฟริก จะทำการยกเลิกระบบเช่ารายครั้ง เหลือเพียงบริการแบบรายเดือนเท่านั้น แต่ก็ยังมีผู้ใช้บริการที่มากขึ้น ไม่ได้ลดลงน้อยลงเลย ทำให้ระยะเวลาไม่ถึงปี พวกเขามีสมาชิกรายเดือนถึง 300,000 คน

NETFLIX กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ธุรกิจของพวกเขา ก็มีความผิดพลาดได้

กว่าจะกลายมาเป็นการเช่าแบบรายเดือน พวกเขาต้องล้มไปเกือบ 2 ปี แม้จะเป็นผู้ให้เช่า DVD ออนไลน์ที่แรก จนได้รับความนิยมอย่างสูง แต่จุดอ่อนที่เขาเจอ คือพวกเขาต้องส่งวิดีโอทางไปรษณีย์ นั่นทำให้ค่าใช้จ่ายทางไปรษณีย์ ของพวกเขาต้องใช้รายจ่ายสูง เมื่อทางไปรษณีย์ของสหรัฐฯ ทำการปรับราคาค่าส่งขึ้น ทำให้พวกเขาเกิดปัญหาทางการเงิน ทำให้เรื่องราวไปถึง Blockbuster ผู้ให้เช่าภาพยนตร์รายใหญ่ ยื่นข้อเสนอ เพื่อเข้าซื้อกิจการของเน็ตฟริก ในปี 2000

NETFLIX Blockbuster

ข้อเสนอก็คือ Blockbuster จะดูแล และจัดการเรื่องการเช่า และการจัดส่งทั้งหมด ด้วยระบบรายใหญ่ของเขา เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ในส่วนของเว็บไซต์ จะต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Blockbuster ทำให้ชื่อ NETFLIX จะหายไป

โดยทาง Reed ยื่นข้อเสนอไป 50 ล้านเหรียญฯ เพราะเขาคิดว่า ระบบออนไลน์ ที่เน็ตฟริกสร้างขึ้นมา มีมูลค่าต่อพวกเขาอย่างมาก แต่ Blockbuster ไม่เห็นด้วย ว่ามันจะมีมูลค่าสูงขนาดนั้น การเจรจาซื้อขายในครั้งนั้น จบลงด้วยความล้มเหลว

และนั่นก็นำมาสู่การเกิดวิกฤตครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อเกิดวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น และเหตุการณ์ที่เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรด ในเดือนกันยายน 2001 ส่งผลให้เน็ตฟริก เริ่มไม่มีกำไร ต้องเจอกับปัญหาเงินสดขาดมือ Reed พยายามยื้อทุกวิถีทาง เพื่อรักษาเน็ตฟริกไว้ จนเขาต้องปลดพนักงานถึง 40 คน จากทั้งหมด 120 คน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท 

💡จากวิกฤต กลายเป็นโอกาส เมื่อเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมา💡

ช่วงปลายปี 2002 เป็นช่วงที่คนเริ่มนิยมจับจ่ายมากที่สุด เกิดกระแสการใช้งาน เครื่องเล่น DVD จนทำให้เครื่องเล่น DVD กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในปีนั้น และนั่น ก็ทำให้ความต้องการดูหนังแบบ DVD เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย Reed เดิมพันธุรกิจมีตั้งแต่ปี 1997 พวกเขาเลือกจะอยู่ถูกฝั่ง ทำให้เน็ตฟริก เริ่มกลายเป็นผู้ให้เช่าหนังรายใหญ่ของสหรัฐฯ

จากนั้นในปี 2005 เน็ตฟริก เตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ชื่อว่า “Netflix Box” เพียงลูกค้านำกล่องดังกล่าว ติดตั้งกับทีวี ก็สามารถเปิด เพื่อเลือกเช่าหนังได้ จากนั้นหนังจะถูกดาวน์โหลดใส่ลงกล่อง ให้ลูกค้าได้ดู แบบไม่ต้องรอส่งทางไปรษณีย์แล้ว พวกเขาพัฒนาแนวคิดนี้ เพื่อเตรียมแผนการตลาด และกำลังวางจำหน่าย เพียงแต่มีเว็บไซต์ที่ชื่อว่า YouTube เปิดบริการมาในปีนั้นพอดี 

ทำให้สินค้าที่พร้อมวางจำหน่าย เขาเลยกลับคิดว่า YouTube ทำเว็บดูวิดีโอออนไลน์ได้ แล้วทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้ สุดท้าย สินค้าที่กำลังวางจำหน่าย กลับถูกยกเลิกวางขาย พร้อมกันทุ่มเท พัฒนาบริการสตรีมมิงภาพยนตร์ บนเว็บไซต์แทน

และในปี 2007 เป็นปีที่เน็ตฟริก ฉลองยอดปล่อยเช่า DVD ครบ 1,000 ล้านแผ่น ในช่วงแรก มีหนังให้ดูออนไลน์ประมาณ 1,000 เรื่อง แต่คุณภาพยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ของลูกค้าแต่ละคน ถ้าเทียบกับ DVD ที่มีอยู่ประมาณ 100,000 เรื่อง ภาพคมชัดกว่า แต่พวกเขายังไม่สนใจ ยังคงมีแผนงานที่ชัดเจน จากนั้นพวกเขาเปิดให้บริการ สมาชิกแบบรายเดือน รับชมแบบออนไลน์ได้ฟรี จึงทำให้หลายคน กล้าที่จะมาลองใช้บริการสตรีมมิง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในยุคนั้น ผ่านไปเพียง 2 ปี คลังหนังออนไลน์เพิ่มขึ้นมาเป็น 12,000 เรื่อง พร้อมกับยอดผู้ใช้งานสตรีมมิง ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น ทำให้ยอดขาย DVD ลดลงไปทุกปี ๆ ขณะที่ธุรกิจโลกออนไลน์ ของพวกเขาเติบโต

การเติบโตไปในทางที่ดี ทำรายได้สูง พุ่งทะยานสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

ในตอนที่ Reed เคยเดิมพันระหว่าง DVD กับ วิดีโอเทป VHS เมื่อปี 1997 ครั้งนั้นเขาก็เลือกได้ถูกข้าง เขาเลือกที่จะเมิน DVD ที่เคยทำเงินได้อย่างมหาศาล และหันมาเดิมพันกับระบบสตรีมมิง ซึ่งก็เป็นอีกครั้ง ที่เขาเลือกจะเดิมพันถูกข้าง ยอดผู้ใช้งานสตรีมมิง คุณภาพของอินเทอร์เน็ต และกำไรของบริษัท เติบโตสูงขึ้นในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะในปีล่าสุด เน็ตฟริก มีผู้ใช้งานทั่วโลกถึง 160 ล้านคน ทำรายได้ให้บริษัทถึง 640,000 ล้านบาท และมีกำไรถึง 57,000 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้นเติบโตจาก 1.2 ดอลลาร์ ในปี 2002 และพุ่งมาถึง 439 ดอลลาร์ ในปี 2020 และตอนนี้ มูลลค่าของกิจการ “เน็ตฟริก” ทะลุสูงถึง 6 ล้านล้านบาทแล้ว

ความสำเร็จส่งผลให้ Reed Hastings กลายเป็นมหาเศรษฐี ที่ได้รับการประเมินว่า มีทรัพย์สินสูงถึง 150,000 ล้านบาท และนี่ก็คือเรื่องราว ของธุรกิจสตรีมมิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึง 26 ปี และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปต่ออีกในอนาคต

🌍NETFLIX ขยายธุรกิจฐานสมาชิก มาที่เอเชีย🌍

ในตอนนั้น เน็ตฟริก ดังอยู่แล้วที่อเมริกา วันหนึ่งอยากขยายฐานสมาชิกในเอเชีย สิ่งที่เขาทำ คือประกาศในงาน CES (The Cinsumer Electronics Show) ซึ่งจัดในลาสเวกัสทุกปี เขาได้ประกาศว่า จะขยายฐานธุรกิจไปที่เอเชีย และคนในเอเชียสามารถเข้าเว็บไซต์เน็ตฟริก และจ่ายเงินสกุลของประเทศตัวเองได้ 

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เน็ตฟริก มีบริษัทอยู่ในแคลิฟอร์เนีย แต่สามารถขยายออกไปทั่วโลก และมีมูลค่าบริษัท ในปัจจุบันอยู่ที่ 6 หมื่นล้านเหรียญ มีพนักงาน 3,700 คน ทั่วโลก และที่สำคัญ มีจำนวนสมาชิก ที่เติบโตว่า 130 ล้านคน ขยายไปทั้งหมด 130 ประเทศทั่วโลก โดย Fast Company จัดให้เน็ตฟริก เป็น Top 50 The Most Innovative Company หรือเรียกอีกอย่างว่า บริษัทที่มีนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม

นอกจากนั้น VP Product innovation ชื่อว่า Chris Jaffe ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น The Most Creative People in Business ซึ่งสิ่งที่ทำให้เน็ตฟริก ได้รับรางวัลต่าง ๆ เพราะเน็ตฟริกมีหนังให้ดูเยอะ ไม่ใช่หนังเฉพาะหนังฮอลลีวูด แต่ยังมีทีวีโชว์ ซีรีส์ คอนเสิร์ต สารคดี และมี Talk Show ที่นำโดย David Ledderman คอมเมเดียน ที่โด่งดังมาจัดรายการในเน็ตฟริก อีกด้วย ในช่วงแรก เน็ตฟริก อยู่ในลักษณะของการซื้อลิขสิทธิ์หนัง ซีรีส์ หรือรายการต่าง ๆ แต่เขามองว่า โมเดลนี้อาจจะไม่ดีในระยะยาว ไม่มีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง ต้องซื้อลิขสิทธิ์มาขาย พึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา ถ้าวันหนึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์อยากเพิ่มราคา หรือไม่ให้เช่า แล้วเน็ตฟริกจะทำอย่างไรต่อไป จึงเป็นที่มาจองการสร้างคอนเทนต์ ที่เป็นตัวของตัวเอง โดยเรื่องแรกของเน็ตฟริกคือ Orange is the New Black เรื่องของคนคุกหญิง หรือเรื่อง House of Cards ที่แสดงนำโดย Kevin Spacey

โมเดลนี้หลาย ๆ ค่าย เริ่มทำตามเช่น HBO ทำ Games of Throne ซึ่งการที่เน็ตฟริกมีรายการเยอะ เขามองว่าเขาเอง ไม่ได้อยากที่ทำหน้าขึ้นมา เพื่อจับกลุ่มแมส ทำแล้วทุกคนต้องอยากดู ให้ความสนใจ หรือชื่นชอบ 

เน็ตฟริก
ดิสนีย์

และในปัจจุบัน เน็ตฟริก ได้มีคู่แข่งโดยสมบูรณ์แบบ ก็คือ Disney เข้าสู่วงการสตรีมมิง ที่เข้ามาสู้แข่งกับเน็ตฟริก และที่น่าสนใจคือ Disney เป็นเจ้าของคอนเทนต์มากมาย ทั้ง Marvel, Star Wars และอื่น ๆ อีกมากมาย 

Disney+ คืออะไร สตรีมมิงตัวใหม่ ที่มาเป็นคู่แข่ง Netflix

Disney+ (ดิสนีย์ พลัส) เป็นบริการ Vod (Video on Demand) ตัวใหม่ล่าสุด จากทางดิสนีย์ พร้อมให้บริการบนความละเอียด 4K พร้อม HDR ทั้ง Dolby Vision และ HDR10 โดยจะคอนเทนต์มากมาย จากหลายพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นจาก Disney รวมถึง Fox และ National Geographic ทั้งหมด Disney+ จะมีภาพยนตร์มากกว่า 500 เรื่อง ซีรีส์ และสารคดีกว่า 7500 ตอน และ Exclusive Program ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ และสารคดีอีก 35 ไตเติล พร้อมให้บริการได้ทันที ตั้งแต่เปิดตัว

NETFLIX Disney

โดยใน Disney+ จะมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ภาพยนตร์ จะมีทั้ง Wail Disney Studio Motion Pictures และ 20th Century Fox ที่ออกฉายในปีนี้ ทั้งหมดนับตั้งแต่ Captain Marvel เป็นต้นไป โดยหนังที่น่าสนใจใน Disney+ ก็จะมี

  • Marvel มีซีรีส์ที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง ได้แก่ The Falcon and Winter Soldier, Wanda Vision, Marvel’s What If …? ที่เป็นแอนิเมชันแนวทดลอง, Loki และอีกมากมาย
  • Walt Disney Animation Studio มาพร้อมกับสารคดีต่าง ๆ เช่น Into the Unknow : Making Frozen 2 สารคดี ที่เปิดเผยเบื้องลึก เบื้องหลัง ในการผลิตภาพยนตร์ Frozen 2 
  • Pixar มาพร้อมกับแอนิเมชัน Forky Ask a Question ที่อยู่โลกเดียวกับ Toy Story, ซีรีส์ Spin – off จาก Monster at Work, ภาพยนตร์สั้น Lamp Life และอีกมากมาย
  • National Geographic มาพร้อมกับสารคดี 2 เรื่อง คือ The World According to Jeff Goldblum และ Majic of the Animal Kingdom
  • Disney Television Animation มาพร้อมกับภาพยนตร์แอนิเมชัน The Phineas and Ferb Movie, ซีรีส์ High School Musical : The Musical : The Series, Diary of Female President, Lady and the Tramp, Noelle, Togo, Timmy Failure และ Stargirl
  • Star Wars มาพร้อมกับซีรีส์ และภาพยนตร์หลากเรื่อง เช่น The Mandalorian และซีรีส์เดี่ยวของตัวละครเอกจาก Rogue One
  • Fox กับซีรีส์ The Simpsons 30 Seasons รวมถึงภาพยนตร์ The Sound og the Music, The Princess Bride และ Malcolm in the Middle

Disney+ สามารถรองรับอุปกรณ์ใดได้บ้าง ?

ในช่วงเริ่มแรก Disney+ จะมีแอปพลิเคชัน พร้อมให้บริการทั้งบน Windows 10, macOS, Apple TV, ios,  Android, PlayStation4, Nintendo Swtich, Roku และ Amazon Fire TV โดยเริ่มให้บริการในสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศแรก ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 และขยายพื้นที่ให้บริการอย่างรวดเร็วภายในปี 2020 และขยายไปยังทั่วโลก

Disney vs. Netflix ศึกสตรีมมิงเดือด

อนาคตเน็ตฟริกจะเป็นอย่างไร เมื่อ Disney+ เข้ามาตีตลาดแข่งกับเน็ตฟริก  Disney+ เป็นบริการสตรีมมิงวิดีโอออนไลน์ ของดิสนีย์ ที่กำลังมาเป็นคู่แข่งที่น่าจับตาของ เน็ตฟริก, HBO Now

โดยเปิดให้ผู้ใช้ สามารถเข้าถึงออริจินัลคอนเทนต์ รวมถึงรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และสารคดีให้ของ  Disney และ Fox โดย  Disney+ จะเป็นที่เดียว ที่เปิดสตรีมคอนเทนต์ทั้งหมดของดิสนีย์

โดยจะรวบรวมคอนเทนต์ของทางดิสนีย์ ไม่ว่าจะเป็น Marvel, Pixar, Star Wars และ National Geographic นอกจากนี้ ยังจะรวมโปรแกรมทาง Fox อย่าง The Simpsons ทั้ง 30 Season, The Sound of Music, The Princess และ Malcolm in Middle นอกจากนี้ ยังมีแพลนในการรีเมคหนัง Home Alone อีกด้วย

หลังจากหลายปี ที่รายการทีวี และผู้ให้บริการเช่าวิดีโอ ได้สูญเสียลูกค้าให้กับทางเน็ตฟริก ล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง  Disney, WarnerMedia และ NBC Universal กำลังเข้าสู่สงครามสตรีมมิงด้วยเช่นกัน

NETFLIX เน็ตฟริกดิสนีย์

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เน็ตฟริก ก็ยังเป็นที่แรก ที่รับชมภาพยนตร์ของดิสนีย์ ด้วยบริการ Subscription นั่นหมายความว่า ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา เน็ตฟริก เป็นแหล่งรวบรวมหนัง Blockbuster ที่ใหญ่ที่สุด 

แต่ในปลายปี 2019 คอนเทนต์จากทางดิสนีย์ส่วนใหญ่ ก็เริ่มหายไปจากแพลตฟอร์มของเน็ตฟริกแล้ว ทางดิสนีย์ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับเน็ตฟริก เรื่องจากวางแผนที่จะทำบริการสตรีมมิงของตนเอง

เริ่มต้นด้วยการสร้างภาพยนตร์ Disney ในปี 2019 ซึ่งภาพยนตร์ทั้งหมด ถูกกำหนดให้ปล่อยสตรีมมิงบน Disney+ เช่น Captain Marvel ซึ่งเป็นภาพยนตร์ภาคแรกของ Disney ที่จะปล่อยสตรีมใน Disney+ เป็นที่แรก แทนการปล่อยคอนเทนต์บนเน็ตฟริก

แต่การออกใบอนุญาตปล่อยสตรีมมิง มีความซับซ้อนมากกว่านั้น รายงานระบุว่า Disney จะส่งภาพยนตร์เหล่านั้น ไปสตรีมที่เน็ตฟริก และทำการลบออกจากคลังของ Disney+ เริ่มต้นในระยะชั่วคราวในปี 2026 โดยจะมีผลกับภาพยนตร์ที่วางจำหน่ายระหว่างเดือนมกราคม 2016 ถึงธันวาคม 2018

ซึ่งรวมถึงชุดภาพยนตร์ของ Marvel และภาพยนตร์ของ Pixar ด้วย โดย Disney+ จะไม่สูญเสียผู้ชมภาพยนตร์เหล่านั้น จนกว่าจะถึง 6 ปี หลังจากการเปิดตัวบริการ และในตอนนั้น  Disney+ ก็จะสามารถสร้างคลังคอนเทนต์ต้นฉบับขนาดใหญ่ของตัวเองได้

ซีรีส์ที่เน็ตฟริก ได้ร่วมมือกับ  Disney อย่างเช่น Marvel’s The Defenders นั่นก็ซับซ้อนเช่ากัน ซึ่งก็มีบางโปรเจกต์ที่ยกเลิกไปแล้วคือ Daredevil, Luke Cage และ Iron Fist จากนั้นในปี 2019 เน็ตฟริกได้ทำการยกเลิกสองคนสุดท้ายของ The Punisher และ Jessica Joner Kevin Mayer โดยผู้บริหาร  Disney+ ได้ออกมาประกาศว่า  Disney+ จะทำการฟื้นฟูรายการที่ถูกยกเลิกไปนั่นเอง

ทำไม Netflix ถึงหันมาโฟกัสในการสร้าง “อนิเมะ” ของตัวเอง

อนิเมะ

อนิเมะ อาจจะเป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่างเน็ตฟริก และ  Disney+ เนื่องจากดิสนีย์ไม่มีอนิเมะเป็นออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเอง อีกทั้งดิสนีย์ยังได้ประกาศว่าคอนเทนต์ทั้งหมด จะมีเนื้อหาที่ดี เหมาะสำหรับครอบครัว ไม่มีหนังติดเรท ซึ่งนี่อาจจะเป็นข้อได้เปรียบใหญ่พอสมควรสำหรับเน็ตฟริก โดนเฉพาะเมื่อความนิยมอนิเมะได้ทวีขึ้นเรื่อย ๆ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

เป็นที่น่าจับตามอง ว่าการเดินเกมของเน็ตฟริก ในครั้งนี้จะส่งผลต่อนาคตอย่างไร อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับแฟน ๆ อนิเมะทั่วโลก ท้ายที่สุดแล้ว  Disney+ จะเข้ามาชิงตำแหน่งผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิงได้หรือไม่ หรือจะเป็นเจ้าอื่น ต้องติดตามอนาคตกันต่อไป

ปิด
QUEENCLUB88 แจกโบนัสฟรี 100%

QUEENCLUB88 แจกโบนัสฟรี 100%

โบนัสฝากเงินครั้งแรก 100%